อาสาพาไปเที่ยว แอฟริกาตะวันตก

   
(ภาพจากเพจ Expat Wifey Journey)

    หากพูดถึงแถบแอฟริกาแน่นอนค่ะทุกคนจะต้องนึกถึง South Africa กันใช่ไหมคะ เมืองที่สวย ๆ มีธรรมชาติงดงาม หรือบางคนก็อาจจะนึกถึงซาฟารี มานอนส่องสัตว์ป่าสนุกสนาน  แต่ถ้าลาล่าบอกว่า West Africa ล่ะคะ ไม่ใช่ South คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่ามันเหมือนกัน ประเทศที่ลาล่าอยู่ ณ ขณะนี้ รับรองว่าหากเอ่ยชื่อไปแล้วนั้นทุกคนต้องเอามือขยี้รังแคบนหนังศีรษะแล้วกระพริบตาปริบ ๆ ให้ยายข้างบ้านนั่งงงเล่นแน่ ๆ แล้วลาล่ามาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอคะ มาหาคำตอบกันค่ะ

   ตอนนี้ลาล่าอยู่ประเทศ Côte d’ivory ( Ivory Coast ) เมือง Abidjan จ้า ไหนขอเสียงคนที่รู้จักประเทศนี้หน่อยซิคะ (เงียบฉี่แน่นอน) ก็แน่ล่ะที่นี่มีคนไทยอาศัยอยู่ยังไม่ถึง 10 คนเลย คือก่อนย้ายมาที่เมืองนี้ก็ทำการบ้านมาบ้างแล้ว พยายามหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตไม่เจออะไรเลยนอกจากทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง มีนักเตะชื่อดังมาจากประเทศนี้ชื่อว่า Didier Drogba (นั่นไงงงหนักยิ่งกว่าเดิม) เค้าเคยอยู่ทีมเชลชีด้วยนะคะ (ทีมชื่อดังจากประเทศอังกฤษ) ตอนนี้เค้า retire แล้วค่ะ คือใน google มีแต่คนโพสต์เรื่องฟุตบอล ไม่มีคนไหนให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้อย่างอื่นเลย ตอนจะย้ายมาทำใจอยู่นานมาก (กอไก่แสนแปดร้อยตัว) ไม่อยากมาเลยค่ะแต่ก็ไม่อยากเปลี่ยนสามีใหม่เลยต้องย้ายตามเค้ามา ซึ่งก่อนนั้นเรา 2 คนอยู่ที่เมือง Southampton  ประเทศอังกฤษ เราต้องย้ายมา Abidjan ในปี 2018 ช่วงต้นปี จนถึง ณ วันนี้ที่ลาล่าเขียนบท ความบทนี้อยู่เราก็ยังอยู่ที่นี่ค่ะ คือตอนที่ย้ายมาที่นี่ culture shock มากไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เรื่องภาษา การใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม แต่เราก็ต้องค่อย ๆ ปรับตัวไป

(ถ่ายจากมือถือผู้เขียน Map from Scratch Map deluxe editions) 

   Côte d’ivory มีสินค้าส่งออกคือ cacao ใหญ่ที่สุดของโลกนะคะ (แหมมาถูกเมืองซะด้วย) ส่วนเมือง Abidjan ที่ลาล่าอยู่เค้าเปรียบให้เป็น “Paris of Africa” เพราะว่าคนที่นี่ส่วนมากพูดภาษาฝรั่งเศส และมีชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่เยอะด้วยแถมเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสมาก่อน ทำให้การใช้ชีวิตของลาล่าลำบากอยู่มาก เพราะภาษาฝรั่งเศสของลาล่านั้นอ่อนปวกเปียกเสียเหลือเกิน (จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมไปเรียนน่าตีมั้ย) คนที่นี่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเลยค่ะ น้อยมากที่จะเห็นคนท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะเราใช้ภาษามือ (ใช้มือในการสื่อสารเก่งอิอิ) แต่ส่วนใหญ่ลาล่าก็ไม่ได้ค่อยออกไปไหนเท่าไหร่ ไปฟิตเนส ไปซื้อของ แล้วก็กลับบ้าน ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้าง แต่ไม่บ่อยตอนย้ายมาที่นี่ใหม่ ๆ กลัวอีโบล่ามาก ไม่กล้าออกไปกินอะไรที่ไหน 555 (คนสวยสุขภาพดี) กลัวว่าจะไม่สะอาด กลัวว่าจะมีเชื้อโรค จนสามีเป็นโรคประสาทตามไปด้วย แต่พอขี้เกียจทำกับข้าวนานเข้าเราก็ออกไปทานข้าวนอกบ้านกัน (ลืมเชื้อโรคไปเลยอิอิ)


  
   โดยรวมแล้วเมืองนี้จัดได้ว่าเป็นเมืองที่เศรษฐกิจดีที่สุด (Economic Capital of Ivory Coast) แล้วก็น่าอยู่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ยอมรับเลยว่าตอนย้ายมาอยู่ใหม่ร้องไห้หนักมากคิดทุกวันว่าจะอยู่ที่นี่ยังไง เพราะเรามาจากเมืองที่ดีกว่า สะอาดกว่า มันมีข้อเปรียบเทียบที่เราสัมผัสได้จนทำให้เราคิดมากไม่มีความสุข เราลืมให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีอยู่ ณ ตอนนี้ แต่เรากลับไปโฟกัสกับสิ่งที่เราเคยมีซึ่งมันเปรียบเทียบกันไม่ได้ ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนความคิดก็แน่นอนค่ะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็จะหาความสุขไม่เจอ

(ภาพจาก Expat Wifey Journey)

   สังคมความเป็นอยู่จะมี Hight กับ Low class เท่านั้น ระดับกลางไม่มีคือจนก็จนมาก รวยก็รวยมากแบบนั้น มันเหลื่อมล้ำอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างนะคะคนขับรถของคุณสามีลาล่าเงินเดือนของเค้าจะอยู่ที่ € 160 (ประมาณ 6,000 บาท)  เทียบกับคนขับรถบ้านเราแล้วถือว่าน้อยมาก ๆ แล้วเค้าต้องใช้ทั้งเดือนไหนจะลูกและเมียอีก ถ้าช่วยได้เราก็จะช่วยกันไป บางทีสามีก็ให้เค้าพิเศษบ้าง ส่วนในห้างสรรพสินค้าที่นี่ก็คล้าย ๆ บิ้กซีบ้านเรา แต่มีนาฬิกาโลเล็กซ์ขายนะจ๊ะเพื่อ ! เพื่อคนที่มีเงินซื้อนะสิถามได้ หืม ! 
  
(ภาพจาก Expat Wifey Journey)

   การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่มากจนถึงขนาดว่าอยู่ไม่ได้ ถ้าออกนอกบริเวณที่มีชาวต่างชาติอยู่ (โซนที่ลาล่าอยู่จะมีชาวต่างชาติที่มาทำงานที่นี่เยอะ) เมืองค่อนข้างจะสกปรกนะคะถนนยังเป็นดินแดงอยู่เลย และเรื่องกินที่นี่ไม่มีร้านอาหารไทยเลยซักร้าน เวลาไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตผักสด ๆ ก็หายาก บางทีก็ไม่ค่อยสะอาด เนื้อสัตว์ก็ไม่ค่อยสดเท่าไหร่ เวลากลับไปเมืองไทยลาล่าก็จะขนของกินมาเท่าที่ขนได้เอามาตุนไว้ 555 คือเปิดกระเป๋ามาไม่มีเสื้อผ้านะคะ มีแต่ของกินล้วน ๆ (นำ้หนักเราน่าจะลดนะทำไมมันเพิ่มเอาเพิ่มเอาเกิดอะไรขึ้นกับเรานะเฮ้อ !สงสัยคงจะเครียดมาก) สิ่งที่หาง่ายก็คือผลไม้ และผลไม้ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ กล้วยหอม สับปะรด หาทานได้ง่ายแล้วก็มีรสชาติอร่อย สับปะรดเนื้อฉ่ำหวานมาก มะละกอที่นี่ก็หาง่ายแต่ลูกจะเล็กกว่าเมืองไทย เอามาทำส้มตำแก้ขัดใช้ได้อยู่ค่ะ แต่อย่างอื่นไม่มีให้ซื้อเลยคือถ้าเปิดเฟสบุคแล้วเห็นอาหารไทยที่เพื่อน ๆ โพสต์ลาล่านั่งนำ้ตาตกเลยนะนั่น แง้ !

(ภาพจาก Expat Wifey Journey)

(ภาพจากเพจ Expat Wifey Journey)

   และหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่ลาล่าเห็นและทึ่งของคนที่นี่คือการขายของข้างถนน จะเห็นว่าเค้ายกของขึ้นศีรษะแล้วเดินทรงตัวได้ (ขนาดเราสอนโยคะเราฝึกการทรงตัวด้วยโยคะอยู่ทุกวันเราเอาหนังสือ 2 เล่มวางดูยังทำไม่ได้เลย) มัน Amazing มากทำได้ไง เคยเจอคนแบกกางเกงยีนส์ขายด้วยแม่เจ้า ! คอต้องแข็งแรงเบอร์ไหนถึงจะทำได้เนี่ย แต่พอเห็นแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ มันได้เตือนสติเราว่ามีคนทำงานหนักกว่าเราเยอะเพราะฉะนั้นอย่าบ่นอย่าขี้เกียจ สู้ ๆ 

   พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวบ้างดีกว่าเดี๋ยวจะเครียดกัน คือที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนะคะ เพียงแค่เรามาจากเมืองไทย ประเทศที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีอู่ข้าวอู่นำ้พร้อม อาหารการกินครบครัน ตั้งแต่แพงสุดจนถึงถูกที่สุด มีห้างสรรพสินค้าใหญ่โต มีร้านอาหารดี ๆ ให้เลือกทาน มีทะเลธรรมชาติงดงาม ก็แค่นั้นเอง เวลาลาล่าบ่นว่าชีวิตที่แอฟริกาอยู่ยากคืออยากให้เข้าใจว่าที่มันยากเพราะว่าบ้านเรามันมีพร้อม แต่มันอาจจะไม่ได้ยากสำหรับคนอื่นไงคะ งงงมั้ยคะลาล่าเล่าเองยังงงเลยค่ะ 555 ไปค่ะไปเที่ยวทะเล

(ภาพจาก Expat Wifey Journey)

(ภาพจาก Expat Wifey Journey)

   นี่คือทะเลที่ใกล้บ้านลาล่าที่สุดขับรถไป 30 นาทีเองค่ะชื่อว่า Bassam beach ใกล้มาก ๆ ทะเลที่นี่มีคลื่นลมแรงลงไปว่ายน้ำไม่ได้นะคะ แต่มีร้านอาหารที่ติดทะเล มีรีสอทเล็ก ๆ ด้วยเราก็เลือกหาร้านที่เราชอบนั่งกันได้เลยค นี่เป็นสถานที่ ๆ ลาล่ากับคุณสามีชอบมาที่สุดใกล้บ้าน เบื่อ ๆ ก็ขับรถมาที่นี่ แต่พักนี้ไม่ได้ไปค่ะติดช่วงไวรัสโคโรน่าระบาดก็อดไปจ้า นั่งอยู่บ้านดูรูปเก่า ๆ ไปพลาง ๆ ก่อน มีทะเลอีกที่ ๆ ขึ้นชื่อว่าสวยมาก ลาล่าเองยังไม่เคยไปเลย อยู่ห่างจากบ้านประมาณชั่วโมงครึ่งเองมีชื่อว่า Assinie Beach ที่นั่นจะมีรีสอร์ทสวย ๆ คุณสามีบอกว่าดีงามนางไปสำรวจมาแล้ว ถ้าลาล่าไปแล้วมีโอกาสจะกลับมาเล่าให้ฟังนะคะ 

(ภาพจาก Expat Wifey Journey)
 
  ตอนนี้ลาล่ามีความสุขมากกว่าเดิมกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แอฟริกาตะวันตกไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ใครหลายคนคิด ตอนนี้ก็เริ่มมีนักธุรกิจมาลงทุนมากขึ้น มีโรงแรมแบรนด์ดัง ๆ มาสร้างแล้วอีกอย่างหลาย ๆ คนก็บอกลาล่าว่าที่นี่เจริญขึ้นเยอะแล้วลาล่าโชคดีมากแล้วที่มาตอนนี้ (ตอนแรกก็ยังงง ๆ ว่าชั้นโชคดีแล้วใช่มั้ย 555) แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทุกคนพยายามบอกอะไร ถ้าเรารู้จักว่าที่ไหนควรไปและที่ไหนไม่ควรไป คงจะเหมือนกันกับทุกๆ ที่ ลาล่าเลิกคิดและพยายามหาอะไรทำให้ตัวเองยุ่งเอาไว้ เผลอแป๊บเดียวก็หมดวันนึงแล้ว นี่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนที่ลาล่ากับสามีจะต้องย้ายออกเราจะเก็บแต่ความทรงจำและสิ่งที่ดีที่มีในเมืองนี้เอาไว้เวลาที่นึกถึงมัน เราจะได้มีความสุข อย่าลืมนะคะไม่มีอะไรที่จะซื้อประสบการณ์ชีวิตเราได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตักตวงความทรงจำดี ๆ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด 3 - 4 สุดท้ายแล้ว ลุย ! 

   ลืมบอกไปค่ะว่าสิ่งที่ลาล่าชอบที่สุดในการมาอยู่ที่นี่นั่นก็คือการถ่ายรูปค่ะ ทำไมถึงชอบน่ะเหรอคะ เพื่อน ๆ เห็นรูปลาล่าทั้งหมดที่โพสไว้แล้วคิดว่ายังไงบ้าง ทั้งสีสันของเสื้อผ้า การใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่นมันมีเสน่ห์มาก ๆ เลยเห็นที่ไรต้องยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพทุกที เขียนจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแล้วขออนุญาตไปยืดเส้นคลายปวดก่อนนะคะ ติดตามครูโยคะที่สวยที่สุดในเมือง Abidjan ได้ที่

Facebook : Yoga with LaLa
YouTube : Yoga with LaLa
Pinterest : Pinterest 

    สนใจเรียนโยคะออนไลน์ติดต่อ
Line : yogawithlala 

ประสบการณ์ที่ดี คือความทรงจำที่ดี แล้วพบกันใหม่นะ

Comments

  1. ถ้าเทียบ คล้ายๆอินเดียไหมครับครูลาล่า😁

    ReplyDelete
  2. ว้าววววววววววว

    ReplyDelete
  3. รูปสวยมากๆครับ เล่าเรื่องได้ดีสะท้อนสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนที่นั้น

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular posts from this blog

สูตรลับ น้ำสลัดจากฝรั่งเศส

ประโยชน์ของการฝึกโยคะในท่าไหว้พระอาทิตย์

จากเมืองไทยไปสหรัฐอเมริกา Makeup Artist & Hair Stylist one and the only